boyiseo2521
May 29th, 2015, 22:15
เผยงานศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์เพื่อผิวหน้าขาวkarme ทำให้ผิวขาวได้อย่างไร
ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์เพื่อผิวหน้าขาวkarme ได้เปิดเผยงานวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ ส่วนหนึ่งของงานวิจัยกล่าวถึง ผิวหนัง
ของคนเรามีความหนาคะเน3-5 มิลลิเมตร ประกอบด้วย ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนัง และ ชั้นไขมัน การที่ผิวหนังของมานพมีสีต่างๆ เนื่องจากพิกเมนต์ดำและสีน้ำตาล เนื่องจากมีเมลานินมากกว่าพิกเมนต์อื่น ในสภาวะปกติ เซลล์สร้างสีจะสร้างเม็ดสีออกมาในอัตราและปริมาณสม่ำเสมอและเท่าๆกันทุกจุด แต่หากถูกโน้มน้าวจากรังสีในแสงแดดอันสาเหตุของการสร้างเม็ดสี การเปลี่ยนแปลง ฮอร์โมนในระบบภายในร่างกาย เช่น จากการตั้งครรภ์ การยัดยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายนอกร่างกาย เช่น จากการทาครีมบำรุงผิวที่มีฮอร์โมนบางชนิด เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวด้านหน้าขาว karme จึงถูกนำใช้กันอย่างแพร่หลาย ช่วยให้ผิวหน้าขาวขึ้น ทำให้ฝ้าและกระจางลง สารออกฤทธิ์สำคัญทำให้หน้าขาวต้องกวนใจขั้นตอนการสร้างเมลานินในหลายขั้นตอน สารทำให้ผิวขาวที่ใช้ในประเทศแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 สารฟอกสี (Bleaching Agents) เช่น ไฮโดรควิโนน โมโนเบนโซน และ ปรอทแอมโมเนีย ทั้งหมดนี้เป็นหัสดิน
ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ซึ่งสารประกอบดังกล่าวไม่ถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ผิวหน้าขาว karmeไฮโดรควิโนน เคยเป็นสารที่นิยมใช้กันมากในครีม หรือ โลชั่นคุ้มครองฝ้า ความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 2 สารนี้ออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานินของไฮโดรควิโนนเป็นเพียงชั่วคราว หากหยุดใช้จะกลับเป็นอย่างเดิมหรือเป็นมากกว่าเดิม ซึ่งแตกต่างจากครีมผิวหน้าขาว karme ที่ให้ความขาวคงทน สำหรับข้อดีคือ ไม่ทำลายเซลล์สร้างสีแต่มักทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับกรดวิตามินเอ และหากใช้ติดต่อกันเป็นภายนานเกินกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำ ดังนั้น ไฮโดรควิโนนจึงถูกกะๆเป็นสารห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง
กลุ่มที่ 2 สารทำให้ผิวขาว (Whitening Agents) ที่การกำหนดใช้กันมากในเครื่องสำอางในท้องตลาดเมืองไทยรวมทั้งในผลิตภัณฑ์ karme ได้แก่ อาร์บิวติน กรดโคจิด และ แอสคอร์บิกแมกนีเซียมฟอสเฟต สารดังกล่าวยังไม่มีประกาศจำกัดโดยเฉพาะ อาร์บิวติน เป็นไฮโดรควิโนน ไกลโคไซด์
อาร์บิวตินที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวมี 2 แบบ คือ ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี และได้จากการสกัดจากพืช มีการนำสมุนไพรสกัด Bearberry extract นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว karme อีกด้วย อาร์บิวตินไม่สลายเป็นไฮโดรควิโนนโดยเอนไซม์ในผิวหนังมนุษย์ มีผลต่อการยันการสร้างเมลานินไม่เป็นพิษต่อเซลล์สร้างเมลานินทำให้ผิวหน้าขาวขึ้นและมีความปลอดภัยสูง ไม่ทำให้เกิดอากัปกิริยาระคายเคืองและอาการข้างเคียงใดๆ ทั้งยังคงสภาพต่อแสงแดดได้ดีกว่าไฮโดรควิโนนและได้ผลดีกว่ากรดโคจิก เป็นที่นิยมใช้กันมากในญี่ปุ่น
กรดโคจิก ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ karme ทำให้ผิวหน้าขาวได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี หรือ ได้จากการหยุดกรดโคจิกที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนการหมักกลูโคสด้วยเชื้อรา ช่วยลดการสร้างเมลานิน ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำให้หน้าขาวความเข้มข้นร้อยละ 1-3 เมื่อใช้เป็นส่วนประกอบ
ในครีมหรือโลชั่นทาผิวหนัง ซึ่งออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้างเมลานินทำให้ผิวขาวขึ้น ยื้อการเกิดอนุมูลอิสระซึ่งทำให้ผิวแก่ ในขณะเดียวกันช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ประธานของครีม karme
กลุ่มที่ 3 สารปกคลุมผิว (Covering Agents) ไม่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ผิวหน้าขาว karme ที่อยู่พิกเมนต์ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติทึบแสงและมีสีขาวทันที แต่เมื่อล้างออกสีผิวหนังคงเดิมไม่ได้ขาวขึ้น สารที่มีพลังสูงสุดคือทิตาเนียมไดออกไซด์ ส่วนสารอื่นที่ใช้ เช่น ซิงค์ออกไซด์ ทัลคัม บิสมัสซับไนเตรต และคาโอลิน พิกเมนต์ เหล่านี้นอกจากทำให้ผิวขาวแล้ว ในขณะเดียวกันยังเป็นสารกันแดดด้วยเนื่องจากคุณค่าทึบแสง ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว karme (http://beautyver.com) ยังได้นำสมุนไพรสกัด (Wildberry extract) ซึ่งมีส่วนผสมของกรดโคจิกซึ่งให้ผลดีกับผิวของชาวทวีปเอเชีย
กลุ่มที่ 4 เอเอชเอ หรือ อลฟาไฮดรอกซีแอซิด เรียกกันว่า กรดผลไม้ เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
ในอาหาร ได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของครีมผิวขาว karme เช่น กรดเมลิกในแอปเปิ้ล กรดซิตริกในมะนาว กรดทาร์ทาริกในองุ่น เอเอชเอช่วยละลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งยึดอยู่ระหว่างเซลล์ที่ตายแล้ว ลอกออกอย่างทันทีทันใดและสม่ำเสมอ ทำให้รูขุมขนไม่อุดตันช่วยในการขับน้ำคัดหลั่งของต่อมเหงื่อ ลดรอยฝ้าและจุดด่างดำ และยังเร้าการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การเร่งหลุดออกเซลล์ทำให้ริ้วรอยเล็กๆ และรอยเหี่ยวย่นหลังจากการใช้หลายครั้ง และตีกลับแสงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย การที่ผิวหนังขาวขึ้นจากการใช้สารทำให้ผิวขาวในครีม karme ซึ่งออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานิน มีผลทำให้ผิวหนังท้อแท้ลง มีความไวต่อรังสีอุลตราไวโอเลตมากขึ้น จึงควรใช้ร่วมกับผิวหนังอ่อนแอลง มีข้อความด่วนต่อรังสีอุลตราไวโอเลตมากขึ้น จึงควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์กันแดด และหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัดเพื่อป้องกันการเกิดฝ้า
ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์เพื่อผิวหน้าขาวkarme ได้เปิดเผยงานวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ ส่วนหนึ่งของงานวิจัยกล่าวถึง ผิวหนัง
ของคนเรามีความหนาคะเน3-5 มิลลิเมตร ประกอบด้วย ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนัง และ ชั้นไขมัน การที่ผิวหนังของมานพมีสีต่างๆ เนื่องจากพิกเมนต์ดำและสีน้ำตาล เนื่องจากมีเมลานินมากกว่าพิกเมนต์อื่น ในสภาวะปกติ เซลล์สร้างสีจะสร้างเม็ดสีออกมาในอัตราและปริมาณสม่ำเสมอและเท่าๆกันทุกจุด แต่หากถูกโน้มน้าวจากรังสีในแสงแดดอันสาเหตุของการสร้างเม็ดสี การเปลี่ยนแปลง ฮอร์โมนในระบบภายในร่างกาย เช่น จากการตั้งครรภ์ การยัดยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายนอกร่างกาย เช่น จากการทาครีมบำรุงผิวที่มีฮอร์โมนบางชนิด เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวด้านหน้าขาว karme จึงถูกนำใช้กันอย่างแพร่หลาย ช่วยให้ผิวหน้าขาวขึ้น ทำให้ฝ้าและกระจางลง สารออกฤทธิ์สำคัญทำให้หน้าขาวต้องกวนใจขั้นตอนการสร้างเมลานินในหลายขั้นตอน สารทำให้ผิวขาวที่ใช้ในประเทศแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 สารฟอกสี (Bleaching Agents) เช่น ไฮโดรควิโนน โมโนเบนโซน และ ปรอทแอมโมเนีย ทั้งหมดนี้เป็นหัสดิน
ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ซึ่งสารประกอบดังกล่าวไม่ถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ผิวหน้าขาว karmeไฮโดรควิโนน เคยเป็นสารที่นิยมใช้กันมากในครีม หรือ โลชั่นคุ้มครองฝ้า ความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 2 สารนี้ออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานินของไฮโดรควิโนนเป็นเพียงชั่วคราว หากหยุดใช้จะกลับเป็นอย่างเดิมหรือเป็นมากกว่าเดิม ซึ่งแตกต่างจากครีมผิวหน้าขาว karme ที่ให้ความขาวคงทน สำหรับข้อดีคือ ไม่ทำลายเซลล์สร้างสีแต่มักทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับกรดวิตามินเอ และหากใช้ติดต่อกันเป็นภายนานเกินกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำ ดังนั้น ไฮโดรควิโนนจึงถูกกะๆเป็นสารห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง
กลุ่มที่ 2 สารทำให้ผิวขาว (Whitening Agents) ที่การกำหนดใช้กันมากในเครื่องสำอางในท้องตลาดเมืองไทยรวมทั้งในผลิตภัณฑ์ karme ได้แก่ อาร์บิวติน กรดโคจิด และ แอสคอร์บิกแมกนีเซียมฟอสเฟต สารดังกล่าวยังไม่มีประกาศจำกัดโดยเฉพาะ อาร์บิวติน เป็นไฮโดรควิโนน ไกลโคไซด์
อาร์บิวตินที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวมี 2 แบบ คือ ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี และได้จากการสกัดจากพืช มีการนำสมุนไพรสกัด Bearberry extract นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว karme อีกด้วย อาร์บิวตินไม่สลายเป็นไฮโดรควิโนนโดยเอนไซม์ในผิวหนังมนุษย์ มีผลต่อการยันการสร้างเมลานินไม่เป็นพิษต่อเซลล์สร้างเมลานินทำให้ผิวหน้าขาวขึ้นและมีความปลอดภัยสูง ไม่ทำให้เกิดอากัปกิริยาระคายเคืองและอาการข้างเคียงใดๆ ทั้งยังคงสภาพต่อแสงแดดได้ดีกว่าไฮโดรควิโนนและได้ผลดีกว่ากรดโคจิก เป็นที่นิยมใช้กันมากในญี่ปุ่น
กรดโคจิก ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ karme ทำให้ผิวหน้าขาวได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี หรือ ได้จากการหยุดกรดโคจิกที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนการหมักกลูโคสด้วยเชื้อรา ช่วยลดการสร้างเมลานิน ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำให้หน้าขาวความเข้มข้นร้อยละ 1-3 เมื่อใช้เป็นส่วนประกอบ
ในครีมหรือโลชั่นทาผิวหนัง ซึ่งออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้างเมลานินทำให้ผิวขาวขึ้น ยื้อการเกิดอนุมูลอิสระซึ่งทำให้ผิวแก่ ในขณะเดียวกันช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ประธานของครีม karme
กลุ่มที่ 3 สารปกคลุมผิว (Covering Agents) ไม่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ผิวหน้าขาว karme ที่อยู่พิกเมนต์ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติทึบแสงและมีสีขาวทันที แต่เมื่อล้างออกสีผิวหนังคงเดิมไม่ได้ขาวขึ้น สารที่มีพลังสูงสุดคือทิตาเนียมไดออกไซด์ ส่วนสารอื่นที่ใช้ เช่น ซิงค์ออกไซด์ ทัลคัม บิสมัสซับไนเตรต และคาโอลิน พิกเมนต์ เหล่านี้นอกจากทำให้ผิวขาวแล้ว ในขณะเดียวกันยังเป็นสารกันแดดด้วยเนื่องจากคุณค่าทึบแสง ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว karme (http://beautyver.com) ยังได้นำสมุนไพรสกัด (Wildberry extract) ซึ่งมีส่วนผสมของกรดโคจิกซึ่งให้ผลดีกับผิวของชาวทวีปเอเชีย
กลุ่มที่ 4 เอเอชเอ หรือ อลฟาไฮดรอกซีแอซิด เรียกกันว่า กรดผลไม้ เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
ในอาหาร ได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของครีมผิวขาว karme เช่น กรดเมลิกในแอปเปิ้ล กรดซิตริกในมะนาว กรดทาร์ทาริกในองุ่น เอเอชเอช่วยละลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งยึดอยู่ระหว่างเซลล์ที่ตายแล้ว ลอกออกอย่างทันทีทันใดและสม่ำเสมอ ทำให้รูขุมขนไม่อุดตันช่วยในการขับน้ำคัดหลั่งของต่อมเหงื่อ ลดรอยฝ้าและจุดด่างดำ และยังเร้าการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การเร่งหลุดออกเซลล์ทำให้ริ้วรอยเล็กๆ และรอยเหี่ยวย่นหลังจากการใช้หลายครั้ง และตีกลับแสงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย การที่ผิวหนังขาวขึ้นจากการใช้สารทำให้ผิวขาวในครีม karme ซึ่งออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานิน มีผลทำให้ผิวหนังท้อแท้ลง มีความไวต่อรังสีอุลตราไวโอเลตมากขึ้น จึงควรใช้ร่วมกับผิวหนังอ่อนแอลง มีข้อความด่วนต่อรังสีอุลตราไวโอเลตมากขึ้น จึงควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์กันแดด และหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัดเพื่อป้องกันการเกิดฝ้า